เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มาวัดเห็นไหม มาวัดทั่วไป แล้วเวลาเราไปวัดที่อื่นนะ พอเราไปวัดเราก็เบื่อ ไปที่ไหนเราก็ต้องการให้เราทำบุญกุศลได้ดั่งใจ ให้ได้บุญกุศลดังที่เราปรารถนา แล้วพอเราไปวัดไหนก็แล้วแต่ ใครบอกว่า โอ้โฮ.. วัดนี้ดีมากเลย วัดนี้เงียบสงัดมากเลย แล้วไอ้คนนั้น คนพูดมันจะเป็นปัญหา เงียบสงัดนั้นมันมาจากเราเห็นไหม ความคลุกคลีนะ สังเกตได้ไหมในศาลา ถ้าพูดถึงไม่มีใครห้ามไว้ พูดกันคนละคำ กระซิบๆ เหมือนหมีกินผึ้งเลยหึ่งๆ ทั้งศาลาเลย

ต่างคนต่างเล็กน้อยๆ ต่างคนต่างพูดว่าเสียงเบาแล้ว แล้วพอรวมกันมันเบาไหม.. มันไม่เบาหรอก มาวัดก็เหมือนกัน มาวัดมาพักผ่อน เขาคิดกันอย่างนั้นนะ มาพักผ่อน.. มานอนพักผ่อน

นอนพักผ่อน ! โลงศพ.. ป่าช้า.. มันจะให้เอ็งนอนตลอดไปเลย มันไม่ได้มาพักผ่อน เรามาเร่งความเพียรของเรา เรามาขุดคุ้ยของเรา เรามาถากถางกิเลสของเรา ไม่ใช่ให้มานอนพักผ่อนหรอก

เวลาไปวัดนะ ถ้าความตั้งใจของคน ไปถึงต้องการให้มีที่ภาวนา พอไปภาวนาปั๊บ… พระเหมือนกัน เวลาพระที่ไม่เคยปฏิบัติมานะ แล้วมาอยู่กับเรา “ไปอยู่กับหลวงพ่อทุกอย่างดีหมดเลย เสียอย่างเดียวเท่านั้น คือมีเวลาเหลือเฟือ เวลามากเกินไป ๒๔ ชั่วโมง นี้ภาวนาตลอด”

แล้วเราไปที่อื่น เขาพาเทปูน เขาพาก่อสร้างก็ไม่เอาอีก โอ๊ย ! ไม่ได้บวชมาเป็นกรรมกร ไม่ได้บวชมาหิ้วปูน ไม่ได้บวชมาทำงานก่อสร้าง กิเลสมันติเขาไปหมดเลย แล้วเวลามาอยู่กับเรานะ เราจะให้เวลาเห็นไหม

ข้อวัตร ! ถึงเวลาข้อวัตรเป็นงานส่วนรวม นกยังมีรวงมีรัง นกมันต้องมีที่พึ่งที่อาศัย พระเห็นไหม มีปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ พอแค่ซุกหัวนอนได้ แต่การซุกหัวนอนได้ ต้องทำความสะอาดมันนะ

อยู่กับครูบาอาจารย์นะ บริเวณของเราท่านจะไม่ให้มีใบไม้ ไม่ให้มีพวกเศษขยะเลย เราต้องดูแลรักษาของเรา แล้วมันจะมีคุณค่า ตึกรามสูงขนาดไหน จะกี่ร้อยล้านก็แล้วแต่เราก็ต้องบำรุงรักษามัน ไอ้กระต๊อบห้องหอนะ มุงด้วยใบตองบัง เราก็ต้องดูแลรักษามัน การดูแลรักษาก็ดูแลรักษาด้วยนิสัยของคน ด้วยคุณสมบัติของคน คุณสมบัติดีหรือคุณสมบัติเลว ของมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่า มันดีขึ้นมาก็อยู่ที่คนรักษา ถ้าคนรักษา ๆ ดี

นี่ไง ข้อวัตร ! ข้อวัตรนี้มันจะดีหรือจะเลวไม่สำคัญ สำคัญว่าคนดูแลรักษามันไหม คนทำความสะอาดมันไหม คนใช้สอยมันแล้วดูแลรักษา กระท่อมห้องหอนั่นคือวิมานนะ ไอ้ตึกสี่ห้าร้อยชั้นนั่นน่ะ ไอ้นั่นน่ะนรกอเวจี มันเผารนอยู่ตลอดเวลา มันอยู่ที่ใจของคน ถ้าใจของคนมันเข้าใจสภาวะแบบนั้น มันพิจารณา มันมีคุณค่าหมดไง

แล้วเวลามันมีคุณค่ามาก ในมหายาน ปาราชิก ๕ การฆ่า การทำลายเวลา คือการปาราชิกเลยละ เพราะเวลานี้สำคัญมาก เพราะเวลานี้ทำให้ชีวิตสืบต่อจริงไหม ชีวิตนี้คืออะไร ! ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่กับกาลเวลา คือตั้งอยู่บนอายุน่ะ ตั้งอยู่กับการสืบต่อนี้ไง

ถ้าไม่เป็นการสืบต่อชีวิตมันจะอยู่ได้ไง ชีวิตนี้สืบต่อๆ อยู่บนเวลานี้นะ แล้วเวลาที่มันเป็นไป เราไปนอนจมกับมันเห็นไหม นอนจมกองมูตรกองคูถ ไปนอนจมอยู่กับมัน ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ทั้งนั้นเลย แล้วนอนจมอยู่กับมัน ไปนอนจมอยู่กับไอ้ความโลภ ความหลงของใจ แล้วให้เวลามันกระดิกไป ให้เข็มเวลามันกระดิกของมันไป

แล้วมาอะไร... มาพักผ่อน เวลามาพักผ่อนนะ.. ใช่...! ทุกข์มันทุกข์ทั้งนั้นนะ เราอยู่กับโลก เราทุกข์ทั้งนั้นนะ พอทุกข์ขึ้นมาที่ไปวัดไปวานั้นจะไปสบาย แต่คำว่าสบาย.. สบายโดยสัมมาอาชีวะ สบายโดยสัมมาทิฏฐิ สบายโดยที่มันเป็นพลังงานที่มันมีชีวิตไง

สมาธิคือสิ่งที่มันมีพลังงานที่มันรู้สึกตัวอยู่ ไม่ใช่ตกภวังค์หายเงียบไป ไอ้สบายแบบนั้นมันสบายแบบโลกไง โลกมันคาดหมายกันไปใช่ไหม ว่าบวชแล้วต้องสบาย จะนอนตีแปลงจะได้สบาย มันสบายจริงไหมล่ะ.. ถ้ามันสบายจริง คนป่วย เจ้าชายนิทรา นอนตลอดไปมันมีความสบายไหม

การนอนก็ไม่ใช่งานสบายหรอก แต่เราคิดว่าการนอนเป็นงานสบาย นอนอย่าให้ลุกเลยเป็นไปได้ไหม.. เป็นไปไม่ได้หรอก ! อิริยาบถใดก็หยุดไว้ไม่ได้ การทำงานก็เป็นการทุกข์ยากอันหนึ่ง การนอนก็เป็นการทำงานอันหนึ่ง มันเป็นการทำงานทั้งหมดเลย แต่เราเข้าใจผิดกัน เราเข้าใจผิดว่าเราอยู่สุขสบายแล้วมันเป็นความสบาย

ถ้ามันอยู่สุขสบายนะ น้ำเน่ามันหมักหมม ถ้าน้ำมันหมักหมมอยู่ มันไปไม่รอดหรอก ทีนี้ด้วยความคิดของกิเลสไง ว่าสิ่งใดที่มันสะดวกสบายของเรา สะดวกสบายของกิเลสนะ ไม่ใช่สะดวกสบายของธรรม

ถ้าสะดวกสบายของธรรม มันต้องขวนขวาย มันต้องมีความเพียรชอบ มันต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มันมีความอุตสาหะความเพียรนะ แล้วกาลเวลามันจะเรียกร้องแสวงหามาก เพราะอะไร เพราะจิตถ้ามันลงนะ ๓-๔ ชั่วโมง ไม่ถึงวินาทีเดียว แว็บๆๆ เร็วมากเลย

เวลา ๒๔ ชั่วโมง ทำไมมันเร็วขนาดนี้ เผลอหน่อยเดียว นู่นอีกวันแล้ว เผลอหน่อยเดียว อีกวันหนึ่งแล้ว แล้ววันคืนมันกินชีวิตเราไปตลอดเวลาเห็นไหม มันต้องตื่นตัวตลอดเวลา อันนี้มันคิดอดีตอนาคตไป คาดหมาย คาดหวัง คาดไปหมดเลย

แล้วปัจจุบันทำอะไรกัน ปัจจุบันก็รอพรุ่งนี้ไง พรุ่งนี้จะทำไอ้นั่น มะรืนจะทำไอ้นู่น ไอ้นู่นจะทำไอ้นู่น มันไปนู่นเลย แล้วปัจจุบันทำอะไรกัน เราไม่ได้อยู่ในปัจจุบันนะ ถ้าอยู่ในปัจจุบันของเรา ถ้าปัจจุบันนะ กาลเวลามันสำคัญตรงนี้ แล้วถ้ามีจุดยืนของเรา ให้ใจมันมีจุดยืนของเรา อย่าไปหมักหมมกับมัน อย่าไปคิดคาดหมายคาดการณ์ อนาคตจะเป็นอย่างนั้นๆ นะ ไม่มีหรอก !

ดูครูบาอาจารย์สิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ ท่านดำรงชีวิตของท่าน ท่านอยู่ของท่านเป็นในปัจจุบันนั้น ชีวิตมีเท่านี้เอง มันจะคลาดเคลื่อนไป ถ้ามันคลาดเคลื่อนไปเพราะอะไร เพราะเราไม่มีสติ เราคิดของเราเอง เราคิดโดยธรรมะ..ธรรมะ.. ธรรมะของใคร ธรรมะของกิเลส กิเลสเอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาอ้างว่านั้นเป็นธรรมๆ เป็นธรรมนั้นมันก็พอใจสิ !

ถ้ามันพอใจเรา อู๋ย.. เอ็งเป็นธรรมะนะ ถ้ามันขัดใจเรา อันนี้เป็นกิเลสทั้งนั้นนะ แล้วเวลามันอยู่กับเราเฉยๆ นั่นน่ะไอ้ตัวเผารนนั่นนะ ทำไมไม่ว่ามันเป็นกิเลส ถ้าไม่ว่ามันเป็นกิเลสนะ

การทำบุญกุศลมันก็เป็นเรื่องของบุญกุศลนะ บุญกุศลทำให้เกิดอกุศล อกุศลทำให้เกิดกุศลเห็นไหม ตั้งใจดีสิ่งที่ดีมันเป็นประโยชน์กับใคร เป็นประโยชน์กับโลก แล้วประโยชน์กับธรรมล่ะ

เป็นประโยชน์กับธรรมเห็นไหม ดูสิ เราหลีกทางให้กัน แค่เราให้ทางกัน เราเคารพกัน เราหลีกให้เขามีโอกาสได้ทำ นี่ก็เป็นบุญของเราแล้ว ถ้าเขาไปภาวนาแล้วจิตสงบขึ้นมา เราได้บุญส่วนหนึ่งแล้ว เพราะเราหลีกทางให้เขา เราช่วยเหลือเขา เราให้สิ่งอำนวยความสะดวกให้เขา

แต่เป็นกิเลสได้ไหม... ไม่ได้ ! ฉันต้องใหญ่อย่างเดียว ! ฉันจะเหยียบย่ำไปหมดเลย ใครจะทำอะไร กีดขวางไปหมดเลย

มี...พระทั่วไป ดีแต่ปาก อู๊ย.. ฉันถนอมรักษาพระ ฉันรักพระนะ แล้วทำไมเอาพระมาทำงาน ทำไมเอาพระมาคลุกคลี ทำไมเอาพระมาเป็นฐานเหยียบขึ้นไป

อ้าว.. ถ้ารักษาพระมันก็ต้องรักษาพระสิ ! รักษาพระก็ต้องให้พระอยู่วิเวกสิ งานอะไร งานหยาบๆ งานข้อวัตรปฏิบัติ เป็นงานหยาบๆ เป็นงานเพื่อบุญกุศล ไอ้งานภาวนามยปัญญา ไอ้ปัญญาของหัวใจน่ะ ดูสิที่ว่าปัญญาๆ ปัญญาสมอง ปัญญาสมองปัญญาอะไร ปัญญาโลกียปัญญา ปัญญากิเลสทั้งนั้น กิเลสเอาสมอง เอาสตินี้มาใช้มาเหยียบย่ำกัน

แล้วปัญญาที่เป็นธรรมชาติ ปัญญาที่เป็นธรรมจักร ปัญญาที่เป็นโลกุตตรปัญญามันอยู่ที่ไหน

แล้วถ้าไม่เปิดโอกาสให้เด็กมันฝึกหัด ไม่ได้เปิดโอกาสให้พระทำ แล้วปัญญามันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วพอปัญญามันเกิดขึ้นมา ก็ปัญญากิเลสทั้งนั้น เอากิเลสมาฟาดฟันกัน ต่างคนต่างทิฐิว่าของฉันถูก ถูกเพราะอะไร ถูกเพราะมันเหมือนพระไตรปิฎก แล้วมันถูกจริงไหม

ถ้าเหมือนพระไตรปิฎก ทำไมไม่ละกิเลสของเอ็ง.. ถ้ามันเป็นความจริง ทำไมไม่รู้จริงขึ้นมาจากหัวใจ.. ถ้ามันรู้จริงขึ้นมาจากหัวใจ มันทำอย่างไร มันเริ่มปูพื้นฐานมาจากอะไร

การดำรงชีวิต สัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แล้วมันไปกดถ่วงใครไหม กดถ่วงคนอื่นนะ เห็นไหมดูสิเวลาเราอดอาหารกัน เวลาเราผ่อนอาหารกัน เวลาใครผ่อนอาหารไปเห็นไหมพระจะเปิดโอกาสให้ เรามาเห็นก็ โอ้โฮ.. ไม่สวยงามเลย ไปวัดอื่นเขาจะสวยงามนะ เขาจะนั่งนะ เขาจะกราบพร้อมกัน เขาจะกินพร้อมกัน จะลุกพร้อมกัน ไอ้นั่นมันหุ่นยนต์ !

กระเพาะคนมันเท่ากันหรือ ! กระเพาะคนก็ไม่เท่ากัน ! ทิฐิมานะคนก็ไม่เหมือนกัน ! ทุกอย่างมันต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน ใครสะดวกอย่างไรต้องเปิดโอกาสหมด อยู่ที่หัวหน้าเป็น.. ถ้าหัวหน้าเป็นทุกอย่างก็เป็น

แม่ปู ! ถ้าแม่ปูมันเดินตรงแล้วนะ มันจะสอนลูกปูของมันได้ ไอ้แม่ปูเดินแม่งคดไปครึ่งทางเลย เดินตามฉัน ! เดินตามฉัน ! เดินอย่างนี้ๆ ! เดินอย่างนี้ ! ก็มันโง่ !! มันจะเดินตามไปไหนรอดล่ะ แล้วพอมา โอ๊ย.. สวยงาม อู๊ย.. ลุกเหมือนกัน ! ลุกเหมือนกัน ! คนไม่ใช่หุ่นยนต์ !

การประพฤติปฏิบัติ เรื่องของจิต จริตนิสัยของคน มันไม่เหมือนกันทั้งนั้น ถ้าครูบาอาจารย์ที่ฉลาด จะพาฝูงโคให้พ้นจากวังน้ำวน ถ้าหัวหน้ามันโง่นะ ! มันจะพาจมวังน้ำวนหมด !

แล้วก็มาเกรงอกเกรงใจกันอยู่อย่างนี้ ไอ้นู่นก็ติดขัดไปทางนั้น ไอ้นั่นก็ติดขัดไปทางนี้ ร้อยคนก็ร้อยความคิด ร้อยความคิดก็ร้อยอย่าง แล้วก็เหยียบกันอยู่อย่างนั้น ย่ำกันอยู่อย่างนั้น ไม่พ้นกันสักทีหนึ่ง

เหยียบ ! มันต้องเหยียบใจของเราก่อนสิ ทิฐิมานะของเรา ที่เราต้องการความพอใจของเรา เราต้องการพอใจคนเดียวเลยหรือ ใครอื่นไม่สำคัญ.. ฉันมีความสำคัญคนเดียว ! มันเป็นไปไม่ได้ !

เรานี่เลวที่สุด ! เรามาอาศัยเขาใช่ไหม สังคมเขาเกิดขึ้นมาจากใคร สังฆะมาจากไหน เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แล้วเรามาอาศัยเขาต่างหาก แน่จริงอยู่คนเดียวสิ ! แน่จริงอย่าไปยุ่งกับใครสิ ! แล้วทำไมอยู่ไม่ได้ ทำไมต้องอาศัยคนอื่น

อาศัยคนอื่นเพราะเรายืนด้วยตัวเองไม่ได้ แล้วยังบอกว่าคนอื่นเลว ! คนอื่นเลว ! ก็มึงน่ะเลว !! เพราะเราเลว เราถึงแก้ไขเราใช่ไหม เพราะใจเรามันเลว เราถึงต้องอาศัยสิ่งนั้นเพื่อดัดแปลงเรา ถ้าดัดแปลงเราๆ ต้องถือตามกฎกติกาเป็นใหญ่สิ ไม่ใช่เราเป็นใหญ่ กฎกติกาสร้างขึ้นมาแล้วเหยียบไปหมดเลย เหยียบมันไป

นี่ไง หลวงตาบอก เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอ แล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ใครๆ มาถึงก็เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ไม่เป็นไรๆ กิเลสทิฐิมันใหญ่นัก หัวพระพุทธเจ้านิ่มดี นิ่มเท้าดี เหยียบไปเลย

แล้วมันมาจากไหน เสขิยวัตรมาจากไหน มาจากพระไตรปิฎกทั้งนั้น แล้วเราทำไมไม่เคารพ มาเคารพมันก็มาขัดแย้งกิเลสเรา พอขัดแย้งกิเลสเรา ก็เราต้องการตรงนี้ไง เราต้องการขัดแย้งกับกิเลส เราต้องการเห็นกิเลสของเรา

คนเราเป็นโรคเป็นภัยไปหาหมอทำไม ให้หมอวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคอะไร ไปหาหมอทำไม

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมันโต้แย้ง มันขัดแย้ง นั่นน่ะกิเลสแล้ว มันขัดแย้งกับธรรมวินัยแล้ว แล้วทำไมไม่เหยียบมันลงไป ไม่เหยียบมันนะ กลับมาเหยียบธรรมวินัย กลับมาเหยียบข้อวัตรปฏิบัติ กลับมาเหยียบกติกา เหยียบมันไป กูแน่ ! กูแน่ ! เหยียบกติกามันไป

แล้วอะไรเป็นการชำระกิเลส ชำระกิเลสมันต้องเหยียบเราก่อน เหยียบไอ้ทิฐิมานะ มันเป็นเวลาไหม มันสมควรไหม กาลเทศะเป็นไปได้ไหม แล้วเวลาของเรามีไหม มันไม่มี... ไม่มีก็ไม่ต้องทำ !!

เวลาไม่มีนี่ มันจำเป็นตรงนี้ ต้องเอามาตอนนี้ แล้วว่าเอามาตอนนี้แล้วบอกไม่เอามา ไม่เอามาก็อย่าทำบุญอีก ถ้าไม่เอามาก็อยากจะทำ เอามาแล้วก็จะมาเหยียบย่ำกติกาอีก แล้วอะไรมันสมควร อะไรมันเป็นความดีกันซักที อะไรเป็นความจริงบ้าง

มันเป็นอย่างนี้มาตลอดนะ.. แล้วก็บอกกันเองๆ ยิ่งกันเองนะๆ ดูสิครอบครัว สามีภรรยายิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งต้องเกรงใจกัน ยิ่งสามีภรรยานะ โอ๊ย.. ไม่เป็นไรๆ ไอ้อีกคนก็คิด อู๋.. เราก็ปรารถนาดีกับเขาขนาดนี้ ทำไมเขาทำกับเราได้ขนาดนี้ อีกคนหนึ่งก็คิดว่าไม่เป็นไร

นี่ก็เหมือนกัน ไม่เป็นไร..ไม่เป็นไร การคุ้นชินน่ะกิเลสออกทางนี้ กิเลสเห็นไหม เวลาจะชมมันน่ะ จองหองพองขนเลย ขนแม่ง..หางจรดขอบฟ้าเลย กูแน่ ! กูแน่ ! ถึงต้องกระทืบลงไป กิเลสต้องกระทืบลงไป !!

เราไปส่งเสริมมันกันเอง แล้วก็มาพูดกันเองว่าจะชำระกิเลสนะ ชำระกิเลส ธรรมนี้มันเป็นอย่างนี้ แล้วพูดไปอย่างนี้เห็นไหม ไปหาพระก็ไปให้พระด่า ไปอยู่บ้านก็ให้เมียเทศน์ เวลาด่าก็ว่าเทศน์ เวลาเทศน์ก็ว่าด่า มันกลับกันเพราะอะไร เพราะกิเลสมันไม่ยอมรับ ถ้ากิเลสมันยอมรับนะ สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ คิดให้เป็นสิ คิดให้เป็น ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์นะ

ดูสิ พระโพธิ์สัตว์เห็นไหม ต้องสร้างมาเอง หลวงปู่มั่นไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำนะ แล้วเวลาหลวงปู่มั่นคอยชี้นำลูกศิษย์ลูกหา ต้องคอยบอก คอยแนะ คอยนำ แล้วหัวหน้าเห็นไหมดูสิ มีเก็บหอมรอมริบ อะไรก็ต้องเก็บถนอมรักษาไว้ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันไม่ยอมฟังใครหรอก ถ้าอาจารย์ไม่แน่กว่ากู อาจารย์ไม่ดีกว่ากู อาจารย์ไม่สามารถอยู่ในกรอบกติกาได้ กูไม่ฟังหรอก !

เพราะฉะนั้นก็ต้องดำรงชีวิตให้เป็นแบบอย่าง คนที่จะให้คนเคารพและศรัทธาได้ชีวิตมันต้องเป็นแบบอย่างให้เขาเห็นว่า..

“กูทำได้ !!”

พอทำได้แล้ว เอ้อ.. เขาทำได้จริงเราก็ต้องยอมรับเขา เพราะเขาทำแล้วเราทำไม่ได้ แล้ว เราทำได้ด้วยกันใครมันจะยอมรับใคร แล้วกิเลสมันยอมรับใคร ทิฐิมานะมันมีตั้งแต่ ๑๐๐ ปีก็เป็นอย่างนี้

คนแก้ไขมันเต็มที ! ฟางเส้นสุดท้าย ไม่ไหว.. ไม่ไหวหรอก มันต้องคิด เวลาพูดนะ เห็นไหม ต้นไม้มีแก่น มีเปลือก มีกระพี้ คนใหม่มาก็อนุโลมไป คนไม่รู้เราก็ต้องแก้ไขไป แต่ไม่รู้แล้วเราก็ต้องปรับปรุงตัวนะ ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่รู้ทั้งชาติเลยนะ ไอ้คนรู้ก็เหมือนเราเห็นเด็กๆ มันเล่นผิดพลาดน่ะ ไอ้ผู้ใหญ่นั่งทุกข์ใจนะ ไอ้เด็กไม่รู้เรื่อง

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน วุฒิภาวะของใจ ไอ้คนดูอยู่ก็ดูอยู่อย่างนี้ ไอ้คนทำก็ตามสบาย ยังเถ่อ ! อยู่อย่างนั้นนะ ไอ้คนดูแม่งปวดหัวฉิบหายเลย ! แต่ไอ้คนทำไม่รู้ตัว แล้วรู้ตัวทำไมมึงไม่แก้ไขวะ

ถ้ามันแก้ไขนะ... หนักอะไรเท่ากับหนักใจ อาบเหงื่อต่างน้ำกับความหนักใจอะไรหนักกว่ากัน แล้วมาแบกขี้เขาอยู่แม่งกี่สิบปีแล้ว แล้วยังต้องมาแบกกันจนตายเหรอ

มันไม่ได้พูดด้วยทิฐิมานะนะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะมันมีธรรมวินัยพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกเป็นตัวยืน นี่ไงธรรมวินัยพระพุทธเจ้าที่มีอยู่แล้ว มันไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ ไม่ได้พูดด้วยว่าเราอุตริขึ้นมา มันมีตัวอย่าง มีแบบอย่าง แล้วมีครูบาอาจารย์ทำมาเป็นแบบอย่าง แล้วเราแค่ทำตามตัวอย่าง... เอ้อ... ปวดหัวเว้ย เอวัง